เลเซอร์หน้าใส ทางลัดผิวอ่อนวัย ผิวหน้ากระจ่างใส ไร้รอย

“เลเซอร์หน้าใส” เป็นอีกเทคโนโลยีเสริมความงามและดูแลผิวพรรณที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยทำให้เซลล์ผิวเก่าผลัดได้เร็วขึ้น ให้ผลลัพธ์ชัดเจนในเวลาอันรวดเร็ว สามารถช่วยลดรอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิว ลดฝ้า กระบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้าที่โทรม หมองคล้ำดูกระจ่างสดใส อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่เผยผิวใสขึ้น ทั้งนี้เลเซอร์หน้าใสมีอยู่หลากหลายนวัตกรรมเลเซอร์ มาทำความรู้จักกับเลเซอร์หน้าใสแต่ละแบบกัน

ประโยชน์ของเลเซอร์หน้าใส

การทำเลเซอร์หน้าใส มีข้อดีในด้านของการย่นระยะเวลาของการผลัดเซลล์ผิวของร่างกาย จากเวลาปกติคือ 4-6 สัปดาห์ ให้มีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผิวกระจ่างใสเร็วขึ้น ไม่ต้องรอนานตามวงจรธรรมชาติของร่างกายก็สามารถมีผิวที่ใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสขึ้นแล้ว ยังเป็นตัวช่วยในปัญหาด้านอื่นๆ ด้วย เช่น

ลดรอยแดง ลดรอยดำ และลดการอักเสบที่เกิดจากสิว
ลดริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้าให้ดูจางลง
ลดขนาดรูขุมขนให้กระชับขึ้น
ลดรอยดำที่เกิดจากรอยแผลเป็นที่หายดีแล้ว แต่ยังทิ้งรอยหมองคล้ำไว้บนผิวหนังบางจุด
ปรับเม็ดสีผิวให้สม่ำเสมอส่งผลให้ผิวพรรณบนใบหน้าดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

นวัตกรรมเลเซอร์หน้าใส

เลเซอร์หน้าใสมีอยู่หลากหลายแบบ ได้แก่

1. เลเซอร์หน้าใส Super SR Applicator เครื่อง Elos Plus

ยิงพลังงานแสงความเข้มสูง (IPL) ที่มีความยาวคลื่น 580-980 นาโนเมตร ทำงานร่วมกับคลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ทำลายเม็ดสีที่มีความผิดปกติช่วยฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์

จุดเด่น: เน้นในเรื่องปรับสีผิวที่ไม่เรียบและไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส ลบเลือนจุดด่างดำ เช่น เม็ดสีคล้ำ ผิวตกกระจากแสงแดด นอกจากนี้ยังช่วยให้ฝ้าจางลง ในกรณีที่เป็นฝ้าตื้นช่วยแก้ปัญหาที่เกิดความผิดปกติของเส้นเลือดบนใบหน้า เช่น รอยแดง รอยแดงจากสิว มีเส้นเลือดฝอยผิดปกติ (Telangiectasia)

ระยะเวลาในการทำ: แนะนำให้ทำติดต่อกันประมาณ 3-5 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล

2. เลเซอร์หน้าใส วีบีม (Vbeam)

เลเซอร์ ที่มีความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร โดยแสงเลเซอร์นี้จะมีระบบพ่นความเย็นที่ให้ความละเอียดสูงผสานไปกับลำแสงเลเซอร์ที่มีความเที่ยงตรงสูง ทั้งในแง่พลังงาน และระยะเวลาการปล่อยแสงเลเซอร์ที่แม่นยำ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง

จุดเด่น: เน้นรักษารอยแดง ขจัดรอยดำที่ให้ผลลัพธ์อย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งยังช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้เพิ่มมากขึ้น ริ้วรอยลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

ระยะเวลาในการทำ: แนะนำให้ทำต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง จะดีขึ้นประมาณ 75-90%

3. เลเซอร์หน้าใส Fotona Rejuvenation Laser

เลเซอร์ความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร (Nd YAG) ซึ่งการมีความยาวคลื่นแสงสูงทำให้เลเซอร์สามารถผ่านลงไปสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำลายผิวหนังชั้นบน

จุดเด่น: เน้นในการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผิวหน้าใส ลดเลือนริ้วรอยและกระชับรู้ขุมขน ผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ริ้วรอยจางลง ผิวสดใสเรียบเนียนขึ้น รวมทั้งความร้อนที่ปล่อยออกไปจะไปสะสมกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินให้เกิดขึ้นใหม่ เพื่อไปทดแทนเส้นใยเดิมที่เก่าและเสื่อมสลายไปตามวัย ให้กลับมามีสภาพผิวกระชับขึ้น

ระยะเวลาในการทำ: ควรเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ และเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ารับบริการ

4. Ultraformer III

เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์แบบ MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) โดยการใช้หัวยิงพลังงาน Macro Focused Ultrasound แบบ 2.0 มิลลิเมตร ลงไปถึงชั้นหนังแท้ Upper Dermis ที่มีความเสถียรในการปล่อยพลังงานและมีความแม่นยำสูง

จุดเด่น: ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นการสร้างใหม่ ลดการเกิดริ้วรอยที่หางตา ใต้ตา มุมปาก กระชับรูขุมขนให้เล็กลง เปลี่ยนผิวหน้าเรียบเนียนดูกระชับอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม

ระยะเวลาในการทำ: ทำครั้งแรกผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน แนะนำควรทำปีละ 2-3 ครั้ง

หลังทำเลเซอร์หน้าใสควรทาครีมกันแดดทุกวัน โดยควรมีค่า SPF 30+ หรือ 50+ และควรทาตลอดไม่เว้นแม้แต่เวลาทำงานอยู่แต่ในห้องร่วมกับงดออกไปเผชิญแสงแดดประมาณ 1-2 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องออกไปก็ให้พกร่ม ใส่หมวกด้วยทุกครั้ง

อย่างไรก็ตามก่อนจะเลือกทำเลเซอร์หน้าใส ลองดูปัญหาบนใบหน้าในภาพรวมก่อนและเข้ามาปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและความงามเพื่อจัดการปัญหาผิวหน้าของเราได้ครบทุกจุดและเหมาะสมกับสภาพผิวของเรามากที่สุด ทั้งนี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ผิวหนังและความงาม เบอร์ 024509999 ต่อ 1200-1201